พระสามารถ ฐิตสีโล
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ทาน (การให้, การบริจาค,
การเสียสละ)
ได้รับการสรรเสริญไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก
ว่าเป็นธรรมะที่สำคัญข้อหนึ่ง
อันที่จริงแล้ว
ในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นนั้น ทานเป็นเพียงธรรมะขั้นต้น
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ผู้ที่เพิ่งจะนับถือพระพุทธศาสนา พระองค์จะทรงแสดงอนุปุพพิกถา ๕
(เรื่องที่กล่าวถึงตามลำดับ)[1] ก่อน ซึ่งอนุปุพพิกถานั้นมีทานมัยเป็นข้อแรก[2]
และในสังคหวัตถุ ๔ มีทานเป็นข้อแรก[3]
นอกจากนั้น ทานยังเป็นข้อแรกในบารมี ๑๐[4] ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น
ในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าบุคคลต้องปฏิบัติธรรมะข้อทานตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว
หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนในการให้ทาน
ในพระพุทธศาสนา ทานเป็นธรรมะที่มีความสำคัญมากในแง่ที่ว่าช่วยทำให้จิตใจของเราบริสุทธิ์
เพราะว่าทานนั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความโลภ ซึ่งเป็นข้อแรกในอกุศลมูล ๓[5] ความโลภถูกหุ้มห่อด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะเหตุที่ว่า เรายังมีการยึดถือว่าเป็น “เรา”
และ “ของเรา”
ทานนั้นยังช่วยทำให้ความเห็นแก่ตัวของเราลดน้อยลงไป ส่วนใน มัจฉริยสูตรแห่งเทวตาสังยุต แสดงว่า
“บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจแล้วจึงทำให้ทานเถิด”[6] และในธรรมบทได้เตือนให้เราเอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้ (ชิเน
กทริยํ ทาเนน)[7]
เป็นการยากที่เราจะปฏิบัติธรรมะข้อทานให้ได้พอๆ
กันกับความแรงกล้าของความโลภและความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในจิตใจของเรา ในสาธุสูตรแห่งเทวตาสังยุต ได้จัดทานให้เท่าเทียมกันกับการรบ (ทานญฺจ
ยุทธญฺจ สมานมาหุ)[8] กล่าวคือในการให้ทานนั้น เราต้องต่อสู้เอาชนะความโลภให้ได้เสียก่อน
จึงจะสามารถทำจิตใจของเราให้สละบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าและมีประโยชน์แก่เราออกไปได้ แต่ในลฑุกิโกปมสูตร แห่งคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ได้แสดงให้เห็นว่า “บุคคลที่ขาดความเข้มแข็งทางจิต จะพบว่าเป็นการยากที่จะเลิกสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเคยประพฤติปฏิบัติมา นางนกมูลไถตัวเล็กๆ ถูกผูกไว้ด้วยเถาวัลย์ที่บางเปื่อย แม้ว่าเถาวัลย์นั้นจะบางและเปื่อยก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรง แน่นแฟ้น
ไม่เปื่อย สำหรับนำตัวเล็กๆ
แต่เชือกซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรงก็ไม่เป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรงแน่นแฟ้นจนเกินไป สำหรับช้างตัวมีกำลัง”[9]
แม้ความตระหนี่และความประมาท
(คือ ความไม่รู้เกี่ยวกับกรรมและสังสารวัฏ)
ก็เป็นต้นเหตุขัดขวางมิให้บุคคลให้ทานได้พอๆ กัน
ดังที่ปรากฎในมัจฉริยสูตรแห่ง
คัมภีร์สังยุตตนิกายว่า
“เพราะความตระหนี่และความประมาทอย่างนี้บุคคลจึงให้ทานไม่ได้” (มจฺเฉ รา
จ ปมาทา จ เอวํ ทานํ
น ทียติ)[10] ถ้าบุคคลทราบว่า การให้ทานมีประโยชน์ในทางศีลธรรม
เขาจะไม่ประมาทคอยแสวงหาโอกาสปฏิบัติธรรมะข้อสำคัญนี้ ครั้งหนึ่ง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างที่เรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้ว ก็จะไม่พึงบริโภค” [11]
คุณลักษณะของผู้ให้หรือทายก
มีพระสูตรหลายสูตรด้วยกันที่ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของผู้ให้ไว้กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้คือบุคคลที่มีศรัทธา (ความเชื่อ)
ได้แก่เชื่อว่าการดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เชื่อเรื่องกรรมและสังสารวัฎและเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพพอที่จะพัฒนาตนเองให้เต็มบริบูรณ์ทั้งทางศีลธรรมและทางจิตใจ กล่าวโดยย่อ
ผู้ให้นั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ หาใช่เป็นนักวัตถุนิยมไม่ ผู้ให้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทายกเท่านั้น แต่ยังได้เป็นทานบดี (เจ้าของทาน)
ด้วย
คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาของอังคุตตรนิกาย ได้อธิบายแนวความคิดเรื่อง “ทานบดี”
ไว้ว่า
“จริงอยู่ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้วยตน
ให้ของไม่อร่อยแก่บุคคลอื่น
ผู้นั้นชื่อว่าเป็นทาสแห่งทาน
ผู้ใดบริโภคสิ่งใดด้วยตนเองให้สิ่งนั้นแหละ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสหายแห่งทาน
ส่วนผู้ใดตนเองเป็นผู้อยู่ด้วยของอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมให้ของอร่อยแก่บุคคลอื่น
ผู้นั้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าเป็นเจ้าภาพของทานได้”[12]
นอกจากนั้นได้มีการอธิบายผู้ให้ว่าเป็นผู้มิได้ปิดประตู (อนาวฏทฺวาโร)
เป็นดุจบ่อที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์
คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก
และยาจก (โอปานภูโต)[13] เป็นผู้มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว (มุตฺตจาโค)
เป็นผู้มีฝ่ามืออันชุ่ม
(ปยตปาณี) เป็นผู้ยินดีในการสละ (โวสฺสคฺครโต)
เป็นผู้ควรการขอ (ยาจโยโค) เป็นผู้ยินดีในการแจกจ่ายทาน (ทานสํวิภาครโต)[14]
ผู้ให้คือผู้ที่มีความสุขทั้งก่อนให้ทาน กำลังให้ทาน
และหลังจากให้ทานแล้ว[15] ก่อนให้ทานเขาเป็นผู้มีความสุขที่ได้มีโอกาสให้ทาน
ขณะกำลังให้ก็เป็นผู้มีความสุขว่าได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุขโดยได้สิ่งจำเป็นแก่ตนเอง หลังจากให้ทานแล้ว ก็ปลื้มใจว่า
เราได้กระทำความดีแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลผู้แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมและทำบุญแก่ผู้อื่นว่าเป็นคน ๒
ตา
ส่วนบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์อย่างเดียว
แต่ไม่ทำบุญแก่ผู้อื่น
เปรียบเหมือนกับคนตาเดียว[16]
ส่วนในปราภวสูตร แสดงว่า
“คนที่มีทรัพย์มาก มีเงินทองของกิน กินของอร่อยแต่ผู้เดียว ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม”[17]
สิ่งของที่ควรให้หรือไทยธรรม
ในทางปฏิบัติแล้ว
มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์ซึ่งสามารถให้เป็นไทยธรรมได้ในคัมภีร์จูฬนิเทสได้ให้รายชื่อของไทยธรรมไว้ ๑๔
อย่าง คือ ๑.จีวร
๒.บิณฑบาต ๓.เสนาสนะ ๔.เภสัชและบริขารสำหรับพระอาพาธ ๕.ข้าว
๖.น้ำ ๗.ผ้า ๘.ยานพาหนะ
๙.ดอกไม้ ๑๐.ของหอม ๑๑.เครื่องลูบไล้ ๑๒.ที่นอน
๑๓.ที่พัก และ ๑๔.เครื่องประทีป[18] ไม่จำเป็นนักที่คนเราจะต้องให้ทานอย่างมากมาย เพราะว่าคนเราสามารถให้ทานได้ตามกำลังของตน ทักษิณา (ทาน)
ที่ให้แต่ของน้อยก็นับเสมอด้วยพัน (คือมีผลมาก) [19] บุคคลใดประพฤติธรรมอันงามเลี้ยงภรรยาและเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลแสนหนึ่งนั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น[20]
ชาวบ้านผู้มีจิตเลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ตนได้มาโดยชอบธรรม ย่อมประสบชัยชนะในโลกทั้ง ๒
คือ ในโลกนี้และในโลกหน้า[21]
ในมาฆสูตรแห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย
สุตตนิบาต
พระพุทธเจ้าทรงแสดงความชื่นชมต่อมาฆมาณพผู้กราบทูลว่า “ข้าพระองค์นั้นแสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมและถวายแก่ปฏิคาหก
(ผู้รับ) ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง ฯลฯ ๑๐๐ องค์บ้าง
ยิ่งกว่านั้นบ้าง”[22]
แม้ถ้าบุคคลให้ทานเพียงเล็กน้อย แต่จิตใจของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยศรัทธา
บุคคลนั้นก็สามารถได้รับความสุขในโลกหน้าได้ วิมานวัตถุได้ให้ตัวอย่างไว้อย่างเพียงพอ เช่น
ในอาจาทายิกาวิมานได้แสดงไว้ว่า
“หญิงขัดสนผู้หนึ่งถวายข้าวตังแก่พระมหากัสสปะด้วยจิตใจที่เลื่อมใส
ผลที่ได้รับคือนางได้บังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีฤทธิ์มากอยู่ ณ
สวรรค์ชั้นนิมมานรดี”[23] ทักขิณาวิภังสูตรได้แสดงความบริสุทธิ์ของทักษิณาไว้ ๔ อย่างดังนี้
๑.ทายกมีศีล มีธรรมงาม
ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล
มีธรรมลามก ทักษิณานั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
๒.ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล
มีธรรมงาม ทักษิณานั้นชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
๓.ทายกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล
มีธรรมลามก ทักษิณานั้นชื่อว่า ฝ่ายทายกไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์
๔.ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม ทักษิณานั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก[24]
คัมภีร์อังคุตตรนิกายได้กล่าวถึงทาน ๕
ประการที่จัดเป็นมหาทาน
ซึ่งบัณฑิตถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศตั้งแต่อดีตกาล ทั้งสมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งก็ไม่รังเกียจ เราไม่ต้องสงสัยคุณค่าของทานทั้ง ๕
ประการนั้นทั้งในอดีต
ปัจจุบันและอนาคต ทาน ๕
ประการ คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ๑. เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒.เป็นผู้งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๓.เป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔.เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ
๕.เป็นผู้งดเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อริยสาวกผู้งดเว้นจาก ๕ ประการนี้
ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย
ความไม่มีเวร
ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้
ครั้นให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร
ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ตนเองย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัย ความไม่มีเวร
ความไม่เบียดเบียนหาประมาณมิได้[26]
ผู้รับหรือปฏิคาหก
มีพระสูตรหลายสูตรด้วยกันที่ได้อธิบายถึงบุคคลที่ทายกควรให้ทาน ในกาลทานสูตร
แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย
ได้แสดงว่า “๑.ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นตน ๒.ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป ๓.ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง ๔.ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีลและ ๕.ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล”[27]
ในพระสูตรต่างๆ เช่น
กูฏทันตสูตร มีกัปปิยโวหารที่แสดงถึงบุคคลที่ควรจะได้รับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากสาธารณชน คือ
สมณะ, พราหมณ์, คนกำพร้า, คนเดินทาง,
วณิพก และยาจก สมณะและพราหมณ์ เป็นนักบวชซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพ แต่ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้นำทางจิตใจแก่ชาวบ้าน[28] ดังนั้น
เป็นที่คาดหวังว่าชาวบ้านควรจะอุปถัมภ์บำรุงท่านเหล่านั้น คนจน
(คือ คนกำพร้า วณิพก
และยาจก)
ต้องการความช่วยเหลือจากคนรวยเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอด
และคนรวยโดยการที่ได้ช่วยเหลือคนจนนี่เองก็จะกลายเป็นผู้ร่ำรวยในทางจิตใจมากขึ้น คนเดินทางต้องประสบกับความยากลำบากต่างๆ ในสมัยที่การคมนาคมยังไม่สะดวก ดังนั้น
สาธารณชนจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือคนเดินทาง
พระพุทธศาสนาพิจารณาว่า
การที่สาธารณชนให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลดังกล่าวนั้นเป็นพันธะหรือข้อผูกพันทางศีลธรรม (moral obligation)
ในอัคคิสูตร แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกายพระพุทธเจ้าทรงแสดงไฟ ๓
กอง ซึ่งควรสักการะ เคารพ
นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ คือ
๑.อาหุเนยยัคคิ (ไฟคือผู้ควรของคำนับ) ๒.คหปตัคคิ
(ไฟคืนคหบดี) และ ๓.ทักขิเณยยัคคิ (ไฟคือผู้ควรแก่ทักษิณา) พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า “อาหุเนยยัคคิคือ มารดาบิดา
คหปตัคคิคือบุตร ภรรยา ทาสหรือคนใช้
ทักขิเณยยัคคิคือสมณพราหมณ์ผู้งดเว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติ (ความอดทน)
และโสรัจจะ (ความเสงี่ยม) ฝึกฝนจิตใจ
ให้สงบดับร้อนได้เป็นเอก”[29] ส่วนในมงคลสูตรได้แสดงว่า “การสงเคราะห์ญาติเป็นอุดมมงคลประการหนึ่ง (ซึ่งชาวบ้านสามารถกระทำได้)”[30]
ครั้งหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงบุคคลที่ควรให้ทาน พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า “ดูก่อนมหาบพิตร จิตย่อมเสื่อมใสในผู้ใดพึงให้ผู้นั้น” พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามอีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ และทานที่ให้แล้วแก่ผู้ใดจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลจึงมีผลมาก ทานที่ให้แล้วแก่ผู้ทุศีลหามีผลมากไม่”
ต่อจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ทานมีผลมาก
ก็เมื่อให้แก่สมณะผู้มีศีล
ซึ่งกำจัดกามฉันทะ (ความพอใจในกาม) พยาบาท
(ความคิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ) และวิจิกิจฉา
(ความลังเลสงสัย)
ได้แล้วและเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีล
สมาธิ ปัญญาวิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ”[31]
ในสักกสังยุต ท้าวสักกะได้ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทานที่ให้แล้วแก่ผู้ใดจึงมีผลมาก” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ทานที่ให้แล้วแก่สงฆ์ย่อมมีผลมาก”[32] เป็นเรื่องสำคัญที่พึงสังเกตว่าในทางวินัย คำว่า
“สงฆ์”
หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่
๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางวินัย แต่ในพระสูตรต่างๆ คำว่า “สงฆ์”
หมายถึง คู่บุรุษ ๔
หรือบุรุษบุคคล ๘ (จตฺตาริ
ปุริสยุคานิ อฏฺฐปุริสปุคฺคลา) ได้แก่
๑. ท่านผู้เป็นพระโสดาบัน
๒.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ๓.ท่านผู้เป็นพระสกทาคามี ๔.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล ๕.ท่านผู้เป็นพระอนาคามี ๖.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล ๗.ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ และ
๘.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล
มาฆสูตรแห่งคัมภีร์ขุททกนิกายได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคุณธรรมของพระอรหันต์ไว้ เช่น
พระอรหันต์เป็นผู้สละราคะ
โทสะ และโมหะ ได้แล้ว
มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องการบุญควรให้ทานแก่ผู้ใด[33] ในพราหมณ์สังยุตได้ยืนยันว่า
“ทานที่ให้แล้วแก่บุคคลผู้รู้อดีตชาติเห็นสวรรค์และนรก บรรลุพระอรหันต์อันเป็นที่สิ้นชาติ อยู่จบพรหมจรรย์แล้วเพราะรู้ยิ่งเป็นมุนี จึงจะมีผลมาก”[34]
ดังนั้น
พระสงฆ์สาวกซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและเป็นผู้ควรแก่ของคำนับ การต้อนรับ
ทักษิณา
และการทำอัญชลีนั้นจึงนับได้ว่าเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก[35] ทานที่ให้แก่สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
คือ ๑.สัมมาทิฏฐิ ๒.สัมมาสังกัปปะ ๓.สัมมาวาจา
๔.สัมมากัมมันตะ
๕.สัมมาอาชีวะ ๖.สัมมาวายามะ ๗.สัมมาสติและ
๘. สัมมาสมาธิ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
มีความรุ่งเรืองมาก
มีความเจริญแพร่หลายมากเปรียบเหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘
ประการคือ ๑.ไม่เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ
๒.ไม่เป็นที่ปนหินปนกรวด ๓. ไม่เป็นที่ดินเค็ม ๔.ไม่เป็นที่ไถลงลึกได้ ๕.เป็นที่มีทางน้ำเข้าได้ ๖.เป็นที่มีทางน้ำออกได้ ๗.เป็นที่มีเหมือง และ
๘.เป็นที่มีคันนา
ย่อมมีผลมากมีความเจริญมาก ฉะนั้น[36]
ส่วนในธรรมบทได้ยืนยันว่า “นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์มีราคะ โทสะ
โมหะ และความอิจฉาเป็นโทษ
เพราะฉะนั้นทานที่บุคคลให้แก่ท่านผู้ปราศจากราคะ โทสะ
โมหะ และความอิจฉา ย่อมมีผลมาก”[37] ดังนั้นจะตัดสินว่า การให้ทานมีผลมากหรือน้อย ก็จากคุณสมบัติของผู้รับมากกว่าปริมาณหรือคุณค่าของสิ่งของที่เราให้
คัมภีร์คุตตรนิกายได้บันทึกการให้มหาทานที่พระโพธิสัตว์เมื่อเกิดเป็นเวลามพรามหณ์ได้กระทำไว้ดังต่อไปนี้[38]
เราได้ให้มหาทานอย่างนี้ คือ
ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐
ถาด ถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐
ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐
ถาด ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐
เชือก
มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง
มีธงทองครอบด้วยข่ายทอง ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงข้าว น้ำ
ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้
ที่นอน
ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ
ไม่ชำระทักษิณานั้นให้หมดจด
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบัน)
ผู้เดียวบริโภคมีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิผู้เดียวบริโภค
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิร้อยท่านบริโภค
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
-ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
-ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
-การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจาก ๔
ทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
-การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจาก ๔ ทิศ
-การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ งดเว้น
น้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ
-การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบทคืองดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ งดเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
-และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ (ซึ่งนำไปสู่นิพพาน)
มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม