วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทานในพระไตรปิฎก

พระสามารถ  ฐิตสีโล

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย


                ทาน (การให้,  การบริจาค,  การเสียสละ)  ได้รับการสรรเสริญไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก  ว่าเป็นธรรมะที่สำคัญข้อหนึ่ง  อันที่จริงแล้ว  ในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นนั้น  ทานเป็นเพียงธรรมะขั้นต้น  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ผู้ที่เพิ่งจะนับถือพระพุทธศาสนา  พระองค์จะทรงแสดงอนุปุพพิกถา  ๕  (เรื่องที่กล่าวถึงตามลำดับ)[1] ก่อน ซึ่งอนุปุพพิกถานั้นมีทานมัยเป็นข้อแรก[2]   และในสังคหวัตถุ ๔  มีทานเป็นข้อแรก[3]
นอกจากนั้น  ทานยังเป็นข้อแรกในบารมี ๑๐[4]  ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าบุคคลต้องปฏิบัติธรรมะข้อทานตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว

หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนในการให้ทาน
                ในพระพุทธศาสนา  ทานเป็นธรรมะที่มีความสำคัญมากในแง่ที่ว่าช่วยทำให้จิตใจของเราบริสุทธิ์  เพราะว่าทานนั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความโลภ  ซึ่งเป็นข้อแรกในอกุศลมูล  ๓[5]  ความโลภถูกหุ้มห่อด้วยความเห็นแก่ตัว  เพราะเหตุที่ว่า  เรายังมีการยึดถือว่าเป็น  “เรา”  และ  “ของเรา”  ทานนั้นยังช่วยทำให้ความเห็นแก่ตัวของเราลดน้อยลงไป  ส่วนใน มัจฉริยสูตรแห่งเทวตาสังยุต  แสดงว่า  “บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจแล้วจึงทำให้ทานเถิด”[6]  และในธรรมบทได้เตือนให้เราเอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้  (ชิเน  กทริยํ ทาเนน)[7]
                เป็นการยากที่เราจะปฏิบัติธรรมะข้อทานให้ได้พอๆ  กันกับความแรงกล้าของความโลภและความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในจิตใจของเรา  ในสาธุสูตรแห่งเทวตาสังยุต  ได้จัดทานให้เท่าเทียมกันกับการรบ  (ทานญฺจ  ยุทธญฺจ  สมานมาหุ)[8]   กล่าวคือในการให้ทานนั้น  เราต้องต่อสู้เอาชนะความโลภให้ได้เสียก่อน  จึงจะสามารถทำจิตใจของเราให้สละบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าและมีประโยชน์แก่เราออกไปได้  แต่ในลฑุกิโกปมสูตร  แห่งคัมภีร์มัชฌิมนิกาย  ได้แสดงให้เห็นว่า  “บุคคลที่ขาดความเข้มแข็งทางจิต  จะพบว่าเป็นการยากที่จะเลิกสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเคยประพฤติปฏิบัติมา  นางนกมูลไถตัวเล็กๆ  ถูกผูกไว้ด้วยเถาวัลย์ที่บางเปื่อย  แม้ว่าเถาวัลย์นั้นจะบางและเปื่อยก็ตาม  แต่ก็นับว่าเป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรง  แน่นแฟ้น  ไม่เปื่อย  สำหรับนำตัวเล็กๆ  แต่เชือกซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรงก็ไม่เป็นเครื่องพันธนาการที่แข็งแรงแน่นแฟ้นจนเกินไป  สำหรับช้างตัวมีกำลัง”[9]
                แม้ความตระหนี่และความประมาท (คือ  ความไม่รู้เกี่ยวกับกรรมและสังสารวัฏ)  ก็เป็นต้นเหตุขัดขวางมิให้บุคคลให้ทานได้พอๆ  กัน  ดังที่ปรากฎในมัจฉริยสูตรแห่ง  คัมภีร์สังยุตตนิกายว่า  “เพราะความตระหนี่และความประมาทอย่างนี้บุคคลจึงให้ทานไม่ได้” (มจฺเฉ  รา  จ  ปมาทา  จ  เอวํ  ทานํ  น  ทียติ)[10]  ถ้าบุคคลทราบว่า  การให้ทานมีประโยชน์ในทางศีลธรรม  เขาจะไม่ประมาทคอยแสวงหาโอกาสปฏิบัติธรรมะข้อสำคัญนี้  ครั้งหนึ่ง  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างที่เรารู้ไซร้  สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้ว  ก็จะไม่พึงบริโภค” [11]
คุณลักษณะของผู้ให้หรือทายก
                มีพระสูตรหลายสูตรด้วยกันที่ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของผู้ให้ไว้กล่าวโดยทั่วไปแล้ว  ผู้ให้คือบุคคลที่มีศรัทธา  (ความเชื่อ)  ได้แก่เชื่อว่าการดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  เชื่อเรื่องกรรมและสังสารวัฎและเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพพอที่จะพัฒนาตนเองให้เต็มบริบูรณ์ทั้งทางศีลธรรมและทางจิตใจ  กล่าวโดยย่อ  ผู้ให้นั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า  พระธรรมและพระสงฆ์  หาใช่เป็นนักวัตถุนิยมไม่  ผู้ให้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทายกเท่านั้น  แต่ยังได้เป็นทานบดี  (เจ้าของทาน)  ด้วย

คัมภีร์มโนรถปูรณี  อรรถกถาของอังคุตตรนิกาย  ได้อธิบายแนวความคิดเรื่อง  “ทานบดี”  ไว้ว่า  “จริงอยู่ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้วยตน  ให้ของไม่อร่อยแก่บุคคลอื่น  ผู้นั้นชื่อว่าเป็นทาสแห่งทาน  ผู้ใดบริโภคสิ่งใดด้วยตนเองให้สิ่งนั้นแหละ  ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสหายแห่งทาน  ส่วนผู้ใดตนเองเป็นผู้อยู่ด้วยของอย่างใดอย่างหนึ่ง  ย่อมให้ของอร่อยแก่บุคคลอื่น  ผู้นั้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าเป็นเจ้าภาพของทานได้”[12]  
นอกจากนั้นได้มีการอธิบายผู้ให้ว่าเป็นผู้มิได้ปิดประตู  (อนาวฏทฺวาโร)  เป็นดุจบ่อที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์  คนกำพร้า  คนเดินทาง  วณิพก  และยาจก  (โอปานภูโต)[13]  เป็นผู้มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว  (มุตฺตจาโค)  เป็นผู้มีฝ่ามืออันชุ่ม  (ปยตปาณี)  เป็นผู้ยินดีในการสละ  (โวสฺสคฺครโต)  เป็นผู้ควรการขอ (ยาจโยโค)  เป็นผู้ยินดีในการแจกจ่ายทาน  (ทานสํวิภาครโต)[14]
                ผู้ให้คือผู้ที่มีความสุขทั้งก่อนให้ทาน  กำลังให้ทาน  และหลังจากให้ทานแล้ว[15] ก่อนให้ทานเขาเป็นผู้มีความสุขที่ได้มีโอกาสให้ทาน  ขณะกำลังให้ก็เป็นผู้มีความสุขว่าได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุขโดยได้สิ่งจำเป็นแก่ตนเอง  หลังจากให้ทานแล้ว  ก็ปลื้มใจว่า  เราได้กระทำความดีแล้ว
                พระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลผู้แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมและทำบุญแก่ผู้อื่นว่าเป็นคน  ๒  ตา  ส่วนบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์อย่างเดียว  แต่ไม่ทำบุญแก่ผู้อื่น  เปรียบเหมือนกับคนตาเดียว[16] ส่วนในปราภวสูตร  แสดงว่า “คนที่มีทรัพย์มาก  มีเงินทองของกิน  กินของอร่อยแต่ผู้เดียว  ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม”[17]
สิ่งของที่ควรให้หรือไทยธรรม
                ในทางปฏิบัติแล้ว  มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์ซึ่งสามารถให้เป็นไทยธรรมได้ในคัมภีร์จูฬนิเทสได้ให้รายชื่อของไทยธรรมไว้  ๑๔  อย่าง  คือ  ๑.จีวร  ๒.บิณฑบาต  ๓.เสนาสนะ  ๔.เภสัชและบริขารสำหรับพระอาพาธ  ๕.ข้าว  ๖.น้ำ  ๗.ผ้า  ๘.ยานพาหนะ  ๙.ดอกไม้  ๑๐.ของหอม  ๑๑.เครื่องลูบไล้  ๑๒.ที่นอน  ๑๓.ที่พัก และ  ๑๔.เครื่องประทีป[18]  ไม่จำเป็นนักที่คนเราจะต้องให้ทานอย่างมากมาย  เพราะว่าคนเราสามารถให้ทานได้ตามกำลังของตน  ทักษิณา (ทาน)  ที่ให้แต่ของน้อยก็นับเสมอด้วยพัน (คือมีผลมาก) [19]  บุคคลใดประพฤติธรรมอันงามเลี้ยงภรรยาและเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้  เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง  หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ  การบูชาของบุคคลแสนหนึ่งนั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น[20] ชาวบ้านผู้มีจิตเลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ตนได้มาโดยชอบธรรม  ย่อมประสบชัยชนะในโลกทั้ง  ๒  คือ  ในโลกนี้และในโลกหน้า[21] ในมาฆสูตรแห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย  สุตตนิบาต  พระพุทธเจ้าทรงแสดงความชื่นชมต่อมาฆมาณพผู้กราบทูลว่า  “ข้าพระองค์นั้นแสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมและถวายแก่ปฏิคาหก (ผู้รับ) ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง  ฯลฯ  ๑๐๐ องค์บ้าง  ยิ่งกว่านั้นบ้าง”[22]
                แม้ถ้าบุคคลให้ทานเพียงเล็กน้อย  แต่จิตใจของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยศรัทธา  บุคคลนั้นก็สามารถได้รับความสุขในโลกหน้าได้  วิมานวัตถุได้ให้ตัวอย่างไว้อย่างเพียงพอ  เช่น  ในอาจาทายิกาวิมานได้แสดงไว้ว่า  “หญิงขัดสนผู้หนึ่งถวายข้าวตังแก่พระมหากัสสปะด้วยจิตใจที่เลื่อมใส  ผลที่ได้รับคือนางได้บังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีฤทธิ์มากอยู่  ณ  สวรรค์ชั้นนิมมานรดี”[23]  ทักขิณาวิภังสูตรได้แสดงความบริสุทธิ์ของทักษิณาไว้  ๔ อย่างดังนี้
                ๑.ทายกมีศีล  มีธรรมงาม  ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล  มีธรรมลามก   ทักษิณานั้นชื่อว่า  บริสุทธิ์ฝ่ายทายก  ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
                ๒.ทายกเป็นผู้ทุศีล  มีธรรมลามก  ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล  มีธรรมงาม  ทักษิณานั้นชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก  ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
                ๓.ทายกก็เป็นผู้ทุศีล  มีธรรมลามก  ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล  มีธรรมลามก  ทักษิณานั้นชื่อว่า  ฝ่ายทายกไม่บริสุทธิ์  ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์
                ๔.ทายกก็เป็นผู้มีศีล  มีธรรมงาม  ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล  มีธรรมงาม  ทักษิณานั้นชื่อว่า  บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก[24]
                ในธรรมบทได้แสดงไว้ว่า  “การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง”  (สพฺพทานํ  ธมฺมทานํ  ชินาติ)[25]
คัมภีร์อังคุตตรนิกายได้กล่าวถึงทาน  ๕  ประการที่จัดเป็นมหาทาน  ซึ่งบัณฑิตถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศตั้งแต่อดีตกาล  ทั้งสมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งก็ไม่รังเกียจ  เราไม่ต้องสงสัยคุณค่าของทานทั้ง  ๕  ประการนั้นทั้งในอดีต  ปัจจุบันและอนาคต  ทาน  ๕  ประการ คือ  อริยสาวกในธรรมวินัยนี้  ๑. เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์  ๒.เป็นผู้งดเว้นจากการลักทรัพย์  ๓.เป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม  ๔.เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ  ๕.เป็นผู้งดเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  อริยสาวกผู้งดเว้นจาก  ๕ ประการนี้  ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย  ความไม่มีเวร  ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้  ครั้นให้ความไม่มีภัย  ความไม่มีเวร  ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว  ตนเองย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัย  ความไม่มีเวร  ความไม่เบียดเบียนหาประมาณมิได้[26]
ผู้รับหรือปฏิคาหก
                มีพระสูตรหลายสูตรด้วยกันที่ได้อธิบายถึงบุคคลที่ทายกควรให้ทาน  ในกาลทานสูตร  แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย  ได้แสดงว่า “๑.ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นตน  ๒.ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป  ๓.ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง  ๔.ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีลและ  ๕.ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล”[27]
                ในพระสูตรต่างๆ  เช่น  กูฏทันตสูตร  มีกัปปิยโวหารที่แสดงถึงบุคคลที่ควรจะได้รับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากสาธารณชน  คือ  สมณะ, พราหมณ์, คนกำพร้า, คนเดินทาง,  วณิพก  และยาจก  สมณะและพราหมณ์  เป็นนักบวชซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพ  แต่ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้นำทางจิตใจแก่ชาวบ้าน[28]  ดังนั้น  เป็นที่คาดหวังว่าชาวบ้านควรจะอุปถัมภ์บำรุงท่านเหล่านั้น  คนจน  (คือ  คนกำพร้า  วณิพก  และยาจก)  ต้องการความช่วยเหลือจากคนรวยเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอด  และคนรวยโดยการที่ได้ช่วยเหลือคนจนนี่เองก็จะกลายเป็นผู้ร่ำรวยในทางจิตใจมากขึ้น  คนเดินทางต้องประสบกับความยากลำบากต่างๆ  ในสมัยที่การคมนาคมยังไม่สะดวก  ดังนั้น  สาธารณชนจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือคนเดินทาง  พระพุทธศาสนาพิจารณาว่า  การที่สาธารณชนให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลดังกล่าวนั้นเป็นพันธะหรือข้อผูกพันทางศีลธรรม  (moral  obligation)
                ในอัคคิสูตร  แห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกายพระพุทธเจ้าทรงแสดงไฟ  ๓  กอง  ซึ่งควรสักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ  คือ  ๑.อาหุเนยยัคคิ  (ไฟคือผู้ควรของคำนับ)  ๒.คหปตัคคิ  (ไฟคืนคหบดี)  และ  ๓.ทักขิเณยยัคคิ  (ไฟคือผู้ควรแก่ทักษิณา)  พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า  “อาหุเนยยัคคิคือ  มารดาบิดา  คหปตัคคิคือบุตร  ภรรยา  ทาสหรือคนใช้  ทักขิเณยยัคคิคือสมณพราหมณ์ผู้งดเว้นจากความมัวเมาประมาท  ตั้งอยู่ในขันติ  (ความอดทน)  และโสรัจจะ  (ความเสงี่ยม)  ฝึกฝนจิตใจ  ให้สงบดับร้อนได้เป็นเอก”[29]  ส่วนในมงคลสูตรได้แสดงว่า  “การสงเคราะห์ญาติเป็นอุดมมงคลประการหนึ่ง  (ซึ่งชาวบ้านสามารถกระทำได้)”[30]
                ครั้งหนึ่ง  พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงบุคคลที่ควรให้ทาน  พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า  “ดูก่อนมหาบพิตร  จิตย่อมเสื่อมใสในผู้ใดพึงให้ผู้นั้น”  พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามอีกว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  และทานที่ให้แล้วแก่ผู้ใดจึงมีผลมาก  นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง    ดูก่อนมหาบพิตร   ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลจึงมีผลมาก  ทานที่ให้แล้วแก่ผู้ทุศีลหามีผลมากไม่”  ต่อจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า  “ทานมีผลมาก  ก็เมื่อให้แก่สมณะผู้มีศีล  ซึ่งกำจัดกามฉันทะ  (ความพอใจในกาม)  พยาบาท  (ความคิดร้าย)  ถีนมิทธะ  (ความหดหู่และเซื่องซึม)  อุทธัจจกุกกุจจะ  (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)  และวิจิกิจฉา  (ความลังเลสงสัย)  ได้แล้วและเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีล  สมาธิ  ปัญญาวิมุตติ  และวิมุตติญาณทัสสนะ”[31]
                ในสักกสังยุต   ท้าวสักกะได้ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  “ทานที่ให้แล้วแก่ผู้ใดจึงมีผลมาก”  พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า  “ทานที่ให้แล้วแก่สงฆ์ย่อมมีผลมาก”[32]  เป็นเรื่องสำคัญที่พึงสังเกตว่าในทางวินัย  คำว่า  “สงฆ์”  หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่  ๔  รูปขึ้นไป  ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางวินัย  แต่ในพระสูตรต่างๆ  คำว่า “สงฆ์”  หมายถึง  คู่บุรุษ  ๔  หรือบุรุษบุคคล  ๘  (จตฺตาริ  ปุริสยุคานิ  อฏฺฐปุริสปุคฺคลา)  ได้แก่  ๑. ท่านผู้เป็นพระโสดาบัน  ๒.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล  ๓.ท่านผู้เป็นพระสกทาคามี  ๔.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล  ๕.ท่านผู้เป็นพระอนาคามี  ๖.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล  ๗.ท่านผู้เป็นพระอรหันต์  และ  ๘.ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล
                มาฆสูตรแห่งคัมภีร์ขุททกนิกายได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคุณธรรมของพระอรหันต์ไว้  เช่น  พระอรหันต์เป็นผู้สละราคะ  โทสะ  และโมหะ  ได้แล้ว  มีอาสวะสิ้นแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  เพื่อแสดงให้เห็นว่า  ผู้ต้องการบุญควรให้ทานแก่ผู้ใด[33]  ในพราหมณ์สังยุตได้ยืนยันว่า  “ทานที่ให้แล้วแก่บุคคลผู้รู้อดีตชาติเห็นสวรรค์และนรก  บรรลุพระอรหันต์อันเป็นที่สิ้นชาติ  อยู่จบพรหมจรรย์แล้วเพราะรู้ยิ่งเป็นมุนี  จึงจะมีผลมาก”[34]
                ดังนั้น  พระสงฆ์สาวกซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและเป็นผู้ควรแก่ของคำนับ  การต้อนรับ  ทักษิณา  และการทำอัญชลีนั้นจึงนับได้ว่าเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก[35]  ทานที่ให้แก่สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์  ๘ ประการ  คือ  ๑.สัมมาทิฏฐิ  ๒.สัมมาสังกัปปะ  ๓.สัมมาวาจา  ๔.สัมมากัมมันตะ  ๕.สัมมาอาชีวะ  ๖.สัมมาวายามะ  ๗.สัมมาสติและ  ๘. สัมมาสมาธิ  ย่อมมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  มีความรุ่งเรืองมาก  มีความเจริญแพร่หลายมากเปรียบเหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์  ๘  ประการคือ  ๑.ไม่เป็นที่ลุ่มๆ  ดอนๆ  ๒.ไม่เป็นที่ปนหินปนกรวด  ๓.  ไม่เป็นที่ดินเค็ม  ๔.ไม่เป็นที่ไถลงลึกได้  ๕.เป็นที่มีทางน้ำเข้าได้  ๖.เป็นที่มีทางน้ำออกได้  ๗.เป็นที่มีเหมือง  และ  ๘.เป็นที่มีคันนา  ย่อมมีผลมากมีความเจริญมาก  ฉะนั้น[36]
                ส่วนในธรรมบทได้ยืนยันว่า  “นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ  หมู่สัตว์มีราคะ  โทสะ  โมหะ  และความอิจฉาเป็นโทษ  เพราะฉะนั้นทานที่บุคคลให้แก่ท่านผู้ปราศจากราคะ  โทสะ  โมหะ  และความอิจฉา  ย่อมมีผลมาก”[37]  ดังนั้นจะตัดสินว่า  การให้ทานมีผลมากหรือน้อย  ก็จากคุณสมบัติของผู้รับมากกว่าปริมาณหรือคุณค่าของสิ่งของที่เราให้
                คัมภีร์คุตตรนิกายได้บันทึกการให้มหาทานที่พระโพธิสัตว์เมื่อเกิดเป็นเวลามพรามหณ์ได้กระทำไว้ดังต่อไปนี้[38]
                เราได้ให้มหาทานอย่างนี้  คือ  ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ  ๘๔,๐๐๐ ถาด  ถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง  ๘๔,๐๐๐  ถาด  ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน  ๘๔,๐๐๐   ถาด  ให้ช้าง  ๘๔,๐๐๐  เชือก  มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง  มีธงทองครอบด้วยข่ายทอง  ฯลฯ  ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงข้าว  น้ำ  ของเคี้ยว  ของบริโภค  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล   ใครๆ  ไม่ชำระทักษิณานั้นให้หมดจด
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ  (พระโสดาบัน)  ผู้เดียวบริโภคมีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิร้อยท่านบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิผู้เดียวบริโภค
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิร้อยท่านบริโภค
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
                -ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
                -ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
              -การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจาก  ๔  ทิศ  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
                -การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจาก  ๔  ทิศ
                -การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท  คือ งดเว้นจากปาณาติบาต  ฯลฯ งดเว้น  น้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรม  และพระสงฆ์เป็นสรณะ
                -การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม  มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบทคืองดเว้นจากปาณาติบาต  ฯลฯ  งดเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
                -และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ  (ซึ่งนำไปสู่นิพพาน)  มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม




[1]ว.ม. ๔/๒๗.
[2] องฺ.อฏฺฐก. ปุญญกิริยาวัตถุสูตร. ๒๓/๑๒๖. 
[3] องฺ.อฏฺฐก.หัตถกสูตร.๒๓/๑๑๔.
[4] ขุ.พุทฺธ. รัตนจงกรมกัณฑ์.๓๓/๑
[5] ที.ปา.ทสุตตรสูตร.๑๑/๓๙๓.
[6] สํ.ส.มัจฉริยสูตร.๑๕/๘๘.
[7] ขุ.ธ. โกธวรรค. ๒๕/๒๗.
[8] สํ.ส.  สาธุสูตร. ๑๕/๙๗. 
[9] ม.ม. ลฑุกิโกปมสูตร.๑๓/๑๗๖-๑๗๘.
[10] สํ.ส. มัจฉริยสูตร.๑๕/๘๗.
[11] ขุ.อิติ.ทานสูตร.๒๕/๒๐๔.
[12] องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๒๖.
[13] ที.สี.กูฏทันตสูตร.๙/๒๒๔.
[14] สํ.ส.ตติยเทวสูตร. ๑๕/๙๑๔.
[15] นัย.องฺ.ฉกฺก.ทานสูตร. ๒๒/๓๐๘.
[16] นัย.องฺ.ติก.อันธสูตร. ๒๐/๔๖๘.
[17] ขุ.ส.ปราภวสูตร. ๒๕/๓๐๔.
[18] ขุ.จู.ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส. ๓๐/๑๒๑.
[19] สํ.ส.  สาธุสูตร. ๑๕/๙๖.
[20] สํ.ส. มัจฉริยสูตร. ๑๕/๙๑.
[21] องฺ.ฉกฺก. อิณสูตร. ๒๒/๓๑๖.
[22] ขุ.สุ.มาฆสูตร. ๒๕/๓๖๑
[23] ขุ.วิมาน.อาจามทายิกาวิมาน. ๒๖/๒๐.
[24] ม.อุปริ.ทักขิณาวิภังคสูตร. ๑๔/๗๑๕-๗๑๘.
[25] ขุ.ธ.ตัณหาวรรค. ๒๕/๓๔.
[26] องฺ.อฏฺฐก.ปุณณาภิสันทสูตร.๒๓/๑๒๙.
[27] องฺ.ปญฺจก.กาลทานสูตร. ๒๒/๓๖. 
[28] ที.ส.กูฏทันตสูตร.๙/๒๒๔.
[29] องฺ.สตฺตก. อัคคิสูตร. ๒๒/๔๔.
[30] ขุ.ขุ.มงคลสูตร. ๒๕/๖.
[31] สํ.ส.  อิสสัตถสูตร. ๑๕/๔๐๕-๔๐๖.
[32] สํ.ส.  ยชมานสูตร. ๑๕/๙๒๓-๙๒๔.
[33] ขุ.สุ.มาฆสูตร.๒๕/๓๖๒.
[34] สํ.ส.  เทวหิตสูตร. ๑๕/๖๘๗.
[35] ม.นู.  อากังเขยยสูตร.๑๒/๙๕.
[36] องฺ.อฏฺฐก.เขตตสูตร. ๒๓/๑๒๔.
[37] ขุ.ธ.ตัณหาวรรค. ๒๕/๓๔.
[38] องฺ.นวก.เวลามสูตร.๒๓/๒๒๔.